วิธีการมองชุมชนในรูปนี้อาจแยกได้เป็น
3 ลักษณะ คือ
1. ชุมชนในฐานะเป็นพื้นที่แห่งหนึ่งทางภูมิศาสตร์
หมายถึง แหล่งที่ประชาชนตั้งบ้านเรือน
หรือสถานที่พักอาศัยอยู่รวมกันและสมาชิกมีการติดต่อกันมากกว่าบุคคลภายนอก
2. ชุมชนในฐานะเป็นหน่วยปกครองของรัฐ ตามกฎหมาย
ในทรรศนะนี้ชุมชน คือ บริเวณที่ประชาชนอยู่ในเขตรับผิดชอบของการปกครอง
หรือการบริหารงานของรัฐ ภายใต้เจ้าหน้าที่ชุดเดียวกัน
3. ชุมชนในฐานะที่เป็นที่รวมของละแวกบ้านตามลักษณะหมู่บ้านชนบทไทยนั้นจะเห็นได้ว่า
เป็นสถานที่รวมกันของละแวกบ้านใกล้เรือนเคียงตามธรรมชาติ
ซึ่งจะเห็นได้จากการแบ่งออกเป็นหมู่ 1- 2- 3 เป็นต้น
2. ชุมชนละแวกบ้านและสังคม
จากการใช้แนวคิดเกี่ยวกับบริเวณเป็นเกณฑ์ในการกำหนดชุมชนนี้ “ชุมชน”
ครอบคลุมไปได้กว้างตั้งแต่ละแวกบ้าน จนถึงสังคมประชาชาติ
อย่างไรก็ดีเป็นที่ประจักษ์ชัดว่าละแวกบ้านที่มีบริเวณแคบกว่าชุมชนและบริการต่างๆ
ที่มีใช้เพื่อบริการความต้องการของสมาชิกก็มีจำนวนน้อยกว่าของชุมชน
ในระดับละแวกบ้านเดียวกันนั้น บุคคลจะมีความสัมพันธ์กันในแบบเฉพาะหน้า (Face to Face Relationship)
แต่ในชุมชนบุคคลอาจจะไม่มีความสัมพันธ์ในลักษณะดังกล่าวได้
ส่วนสังคมนั้นมีความหมายกว้างขวาง
นอกจากครอบคลุมขอบเขตบริเวณที่กว้างขวางกว่าชุมชนแล้ว
สังคมยังมีลักษณะที่เป็นอิสระ เป็นตัวของตัวเองมากกว่าในระดับสังคมนั้น
จะต้องมีการจัดหาบริการเพื่อสนองความต้องการที่จำเป็นทั้งหมดที่สมาชิกต้องการแต่ในชุมชนนั้นการจัดบริการไม่จำเป็นจะต้องมุกอย่างเพราะส่วนใดที่ชุมชนไม่สามารถจะจัดหามาได้
สังคมเป็นหน่วยจะต้องจัดหา
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่า
ชุมชนอยู่ตรงกลางระหว่างละแวกบ้านและสังคม ทั้งในแง่ของขนาดและในแง่ของจำนวนบริการที่สามารถบำบัดความต้องการของสมาชิก
วนิดา สุทธิสมบูรณ์.การศึกษากับการพัฒนาชุมชน.กรุงเทพมหานคร.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.2541
วนิดา สุทธิสมบูรณ์.การศึกษากับการพัฒนาชุมชน.กรุงเทพมหานคร.สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคำแหง.2541
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น